เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o มิ.ย. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อฟังสัจธรรม สัจธรรมเป็นสิ่งที่เราแสวงหา แสวงหามาเพื่อใคร แสวงหามาเพื่อชีวิตนี้ไง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วชีวิตนี้มาจากไหน สิ่งที่ชีวิตนี้มาจากไหน มาจากบุญกุศลของตน มาจากการกระทำของตน

 

คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาสอนถึงศรัทธาความเชื่อ ให้มีศรัทธาความเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อแล้วเข้ามาศึกษาธรรมมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ใครที่มีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนาปานกลาง ถ้าเขาอยู่ทางโลกเขา อยู่ทางโลกเขา ทางโลกมีแต่การแข่งขัน มีแต่การดิ้นรน ถ้าดิ้นรนแล้วมันต้องมีการแข่งขัน มีความทุกข์ความยากในหัวใจ มันมีความเครียด นี่มีความเครียด ที่พึ่งอาศัยๆ ไง ถ้าที่พึ่งอาศัย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้วตรึกคิดด้วยเหตุด้วยผล ถ้าตรึกคิดด้วยเหตุด้วยผลจะเห็นตามความจริงในพระพุทธศาสนานั้น

 

พระพุทธศาสนาสอนว่าโลกนี้เป็นโลกของสมมุติ โลกสมมุติ สมมุติบัญญัติ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่สมมุติ มันสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เวลาสมมุติขึ้นมาทั้งนั้นนะ เวลาใครให้ค่า เวลาเงินทองใช้ในท้องตลาดได้ เขาใช้ในท้องตลาด เวลารัฐเขาประกาศยกเลิกการใช้นั้น เงินทองนั้นก็เป็นอันเก่านั้น แต่เขายกเลิกการใช้ นี่เห็นความสมมุติมันชัดเจน

 

สิ่งที่ในโลกนี้มันเป็นของสมมุติ แต่สมมุติมันเป็นสมมุติตามความเป็นจริง ถ้าของเป็นสมมุติๆ คนที่คนพาล ของที่สมมุติไม่ทำอะไรเลย นอนขวางโลกไปตลอดเลย นั่นก็ไม่ใช่ สิ่งที่เป็นสมมุติก็เลยขวางโลก ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่รับรู้ไม่ได้ สิ่งที่เป็นสมมุติ สิ่งที่เป็นสมมุติ แต่มันจริงตามสมมุติ

 

คำว่า “จริงตามสมมุติ” เห็นไหม เราเกิดเป็นคน เรามีพ่อมีแม่ มีลูกมีเต้า เราเกิดเป็นมนุษย์ต้องมีความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบ หน้าที่การงานของเราทำเพื่อของเรา นี่สิ่งที่เป็นหน้าที่การงานของเรา

 

เวลาคนที่มีปัญญามากขึ้น เวลามีปัญญามากขึ้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดไง ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป การเกิดขึ้นมา การเกิดขึ้นมาเพื่อไปเจอกับความทุกข์ทั้งนั้น ความทุกข์ทั้งนั้นนะ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ โยมนั่งแล้วห้ามลุก นอนแล้วห้ามลุก ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมา อารมณ์ที่กระทบกระเทือนหัวใจทนไม่ไหว ทุกข์ สิ่งที่ความเป็นจริง ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง

 

ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพ้นจากทุกข์ๆ คนที่มีอำนาจวาสนาน้อยก็บอกว่าจะไปทำลายทุกข์ไง จะเอาปืนไปยิงทุกข์ไง จะเอาทุกข์มาขังไว้ไง...ไม่ใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพวกเราไม่เคยเห็นทุกข์กันหรอก เราเห็นแต่กากของมันไง

 

หลวงตาท่านสอนประจำนะ กิเลสมันขี้รดหัวใจไปแล้วมันไป เพิ่งตื่นนอน โอ๋ย! ทุกข์ๆๆ นี่กิเลสมันไปแล้ว เราเลยไม่เห็นมันไง ไม่มีใครเคยเห็นทุกข์ เห็นแต่ขี้ของทุกข์ มันขี้รดหัวใจแล้วก็บ่นว่าทุกข์ๆ ไง

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ทุกข์ควรกำหนด ใครเป็นคนกำหนด ใครเคยเห็นทุกบ้าง บ่นกันว่าทุกข์ว่ายากนะ แต่ไม่เคยเห็นความทุกข์ของตนเลย ถ้าเคยเห็นความทุกข์ของตน ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์มันเกิดจากอะไร ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ นี่ไง สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก สมุทัยนั่นน่ะคือกิเลส

 

เวลาเขาบอกว่า กิเลส ตัวมันเป็นอย่างไร ตัวกิเกสมันเป็นอย่างไร จับมันมาฆ่า ถ้าใครเห็นกิเลสได้ ฆ่าให้หมดเลย ถ้าฆ่ากิเลสหมดโลกนี้นะ ทุกคนเราได้มีความสุขไปหมดเลย แล้วมันหมดไหมล่ะ เพราะมันไม่เคยเห็นไง มันไม่เคยเห็น มันไม่เคยรู้จัก ถ้ามันเคยเห็น มันเคยรู้จักนะ ถ้าคนที่เคยเห็น เคยรู้จัก คนที่มีอำนาจวาสนาของเรา

 

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ เวลาฟังธรรมๆ ขึ้นมา แรงปรารถนา ความต้องการของเรา เราต้องการความพ้นจากทุกข์ เราไม่ต้องการให้มีความทุกข์ความยากในหัวใจของเราหรอก แต่สิ่งที่เป็นความทุกข์ความยากในหัวใจของเรา ปฏิสนธิจิตๆ จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้มันอยู่ที่ไหน เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ เวลาเขาพิสูจน์กัน เขาพยายามขวนขวาย พยายามพิสูจน์ของเขา

 

พุทธศาสน์ๆ สู้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หรอก เวลาสู้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีปัญญาเหมือนกัน ขวนขวายหามากับเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ความเชื่อของโลกเขา

 

ความเชื่อของโลกเขามันเป็นโลกๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไปทดสอบกับเขาๆ มันไม่มีทางไป ค้นคว้าขนาดไหน ทำขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันก็ยังทุกข์เหมือนเดิมนั่นน่ะ ทำอย่างไรมันก็มีความทุกข์ เพราะความทุกข์มันอยู่ในหัวใจไง ความทุกข์มันอยู่กับเราไง ความทุกข์มันติดไปกับเราไง เห็นไหม ร่างกายกับเงา มีร่างกายกับเงา เงามันติดตัวเราไปตลอดเวลา

 

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากหัวใจเราไปตลอดเวลา แล้วมันก็เกิดตลอดเวลา แล้วมันก็ไปกำจัดกันที่ไหนล่ะ ถึงเวลาเสร็จแล้ว เวลาฉันอาหารของนางสุชาดา “คืนนี้ถ้าเราไม่ตรัสรู้ เราจะนั่งตายไปเลย” ตั้งแต่ปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาจิตมันสงบแล้ว คนเราจิตสงบแล้ว พอจิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วมันยังไม่ได้เกิดปัญญา พอจิตสงบแล้ว พอจิตมันสงบมันเป็นอิสระกับตัวมันเอง มันทำสิ่งใดมา มันสร้างสิ่งใดมา มันรู้ทั้งนั้นน่ะ มันทำสิ่งใดมา มันสร้างสิ่งใดมา เห็นไหม ความลับไม่มีในโลก เราทำอะไรรู้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเรารู้ เรารู้ในภพชาตินี้ไง เราไม่รู้จักภพชาติต่างๆ ที่เราเคยผ่านมาไง

 

พอจิตมันสงบแล้ว เพราะอะไร เพราะภพชาติใดก็แล้วแต่ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้ไปเกิดไง เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตสงบไปแล้ว มันทำอะไรมามันก็รู้ในสิ่งที่มันทำมา มันเคยเป็นอะไรมันก็รู้สิ่งที่เป็นมาไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไป ย้อนไปเท่าไรก็ไม่มีวันจบวันสิ้น มันไม่มีต้นไม่มีปลายๆ ด้วยสติด้วยปัญญา ชักกลับมา ชักกลับมา สิ่งที่มันส่งออก จิตสงบแล้วอยากรู้อยากเห็น รู้สิ่งที่เราทำมา มันไปตามข้อมูลที่มันรู้ แต่มันไม่จบ ดึงกลับมา

 

พอดึงกลับมา ทำสัมมาสมาธิ มัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ จิตถ้ามันยังไม่ได้ชำระล้างกิเลส เพราะมันยังไม่เกิด เราทำความสงบของใจ เราทำสมาธิกันอยู่นี่ เราทำความสงบของใจนะ เข้าไปสู่จิตเดิมแท้ของเรา เข้าไปสู่หัวใจของเรา ถ้าเข้าไปสู่หัวใจของเรา มันทำสิ่งใดมันก็รู้ของมัน

 

ปฐมยาม บุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกถึงอดีต จุตูปปาตญาณ ระลึกถึงอนาคต ถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลส ใครทำกรรมสิ่งใดมา ใครที่นักเลง ใครที่เป็นคนยิ่งใหญ่ที่ท้าทายกับความเป็นจริง กรรมไม่มีๆ การกระทำไม่มี ไอ้พวกที่ท้าทายมันท้าทายขนาดไหนมันก็ท้าทายของมันไป ท้าทายส่วนการท้าทาย ท้าทายคือกริยา คือคำพูด การท้าทาย แต่ยังไม่เกิดการกระทำขึ้น แต่ถ้ามันทำสิ่งใดขึ้นมา เวลามันตายไป จิตดวงใดก็แล้วแต่ทำสิ่งใดมามันจะไปตามนั้นน่ะ จุตูปปาตญาณ ถ้ามันไปมันต้องไปอย่างนั้น ต้องไปอย่างนั้นเพราะเป็นการกระทำอย่างนั้น มันไปอย่างนั้น ถ้าไปอย่างนั้นนะ ดึงกลับมา พอดึงกลับมา มัชฌิมยาม ถึงเวลากำหนดของตนให้เต็มที่ต่อไป ทำความเป็นจริงของตน

 

พอจิตสงบแล้วถ้าไม่มีสติปัญญา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ มันไปโดยกำลัง ไปโดยข้อเท็จจริง แต่เวลาเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมาด้วยมรรค ด้วยมรรคญาณๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาของตนที่เกิดขึ้น สมาธิที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เห็นอดีตแล้วมันก็ไม่ใช่ เห็นอนาคตก็ไม่ใช่ แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร

 

นี่ไง สิ่งที่เป็นอย่างไร นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนตรงนี้ นี่มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุล ความพอดีในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาชำระล้างกิเลส สำรอกคายกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ้นจากทุกข์ๆ ไง

 

ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาๆ ศึกษาจนตาย ก็ตายไปกับความรู้นั้นแหละ นี่ไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ข้อมูลที่กระทำมาๆ ความลับไม่มีในโลกที่มันอยู่ในหัวใจนั้นไง

 

แต่ถ้าเป็นจริงๆ ในปัจจุบันนี้เป็นจริงด้วยมรรคไง ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันปัญญาอย่างไร ปัญญาที่เราคิดกันใช่ไหม ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี่ใช่ไหม เพราะปัญญาขึ้นมา ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วก็มีสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน การฟัง การวิเคราะห์วิจัย จินตมยปัญญา จินตนาการที่ยิ่งใหญ่ จินตนาการที่ยิ่งใหญ่ถ้ามันไม่มีภาวนามยปัญญาขึ้นมามันก็สำเร็จไปไม่ได้ เพราะทุกคนก็มีจินตนาการทั้งนั้น จินตนาการนี้ยิ่งใหญ่นัก ถ้าไม่มีจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ พวกเราทำสิ่งใดไม่ได้ พวกเราจะมีโครงการที่เราปรารถนาไม่ได้ แต่จินตนาการแล้ว ถ้าไม่มีภาวนามยปัญญาเป็นสัจจะความเป็นจริง สัจจะความเป็นจริง ภาวนามยปัญญาเกิดจากไหน เกิดจากตำราใช่ไหม

 

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาเทศนาว่าการนะ ท่านห่วงใยมากเรื่องสัญญาๆ เวลาสมัยหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นนะ ถ้าเป็นข้อเท็จจริง เป็นความสำคัญจะข้ามไปๆ ตรงนี้ไม่ได้ ตรงนี้สำคัญ ข้ามๆๆ ข้ามไป ข้ามเพราะอะไร เพราะอย่าให้มันรู้ มันรู้แล้วมันจินตนาการ มันสร้างภาพ ร้ายกาจนัก

 

คำว่า “ร้ายกาจนัก” นี่ไง สิ่งที่ร้ายกาจ ร้ายกาจในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดร้ายกาจเท่ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก การจินตนาการในใจของสัตว์โลก มันร้ายกาจนัก ถ้าร้ายกาจนัก มันสร้างภาพของมันทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันสร้างภาพนะ ขณะที่ไม่มีใครบอกมัน ไม่มีใครชี้ทางมัน ไม่รู้ข้อมูล มันยังสร้างภาพของมันเอง แล้วถ้ายิ่งรู้ข้อมูลด้วยนะ ยิ่งหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ผู้ที่มีชื่อเสียงด้วยนะ มันอ้างเลย หลวงปู่มั่นพูดอย่างนั้น หลวงปู่มั่นพูดอย่างนั้น

 

เขาพูดอย่างนั้นพูดเป็นประเด็น พูดให้เราไตร่ตรอง พูดให้เราย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา พูดปลุกปลอบให้เราเข้มแข็ง ให้เรามีความกล้าหาญให้เข้าไปเผชิญกับความจริงในใจของตน อยากได้เสือต้องเข้าถ้ำเสือ อยากแก้กิเลสต้องเข้าคูหาของจิต อยากการกระทำต้องเข้าไปเผชิญกับความจริง

 

พวกเราไม่กล้าเผชิญกับความจริงใดๆ ทั้งสิ้น หลบหลีก แล้วอ้างอิง อ้างธรรมะ อ้างว่า นี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญาไง

 

เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นใหม่ๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่งงนะ เอ๊ะ! มันมาได้อย่างไร เอ๊ะ! มันไปได้อย่างไร คำว่า “มาได้อย่างไร ไปได้อย่างไร” มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือคนที่ภาวนาไม่เป็นเลย เริ่มต้นมันมาได้อย่างไร มันมาได้อย่างไร ธรรมผุดนี่งงไปหมดเลย แต่เวลาภาวนาไปเป็นความจริงๆ แล้ว สิ่งที่เป็นความจริงๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไง จินตมยปัญญาคือจินตนาการ การคาด การคิด มันได้ทั้งนั้นน่ะ เวลามันเกิดความเป็นจริง ความจริงเพราะอะไร ความจริงเพราะเราฝึกฝนไง ความจริงเพราะทำความสงบของใจเข้ามาไง ความจริงเพราะเราฝึกหัดของเราไง

 

นี่ไง เวลาวิปัสสนา วิปัสสนาการรู้แจ้งในจิตของคน ถ้าการรู้แจ้งในจิตของตน ปัญญาที่เกิดกับจิตของตน จิตของตนที่มันเกิดขึ้นแล้ว พอมันเกิดขึ้นแล้วมันใช้ปัญญาแยกแยะของมัน นี่ไง อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ศึกษามาขนาดไหน ทำมาขนาดไหน ทำมาเพื่องง ทำอะไรก็ยังงงอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่เวลาค้นคว้า ศึกษามาแล้วประพฤติปฏิบัติไม่ได้ เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เอาจริงเอาจังในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสิ่งที่เป็นจริงๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นิพพานไปหมดแล้ว ยังไม่มีผู้รู้จริงไง เวลาผู้รู้จริงก็เป็นผู้รู้จริงจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียเอง

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทศนาว่าการรื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลารื้อสัตว์ขนสัตว์ เทศนาว่าการ เวลาถ้าจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ กาลามสูตร อย่าให้เชื่อใครทั้งสิ้น อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน อย่าเชื่อๆๆ แล้วไม่เชื่อแล้วทำอย่างไร ไม่เชื่อก็พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงไง

 

แต่เริ่มต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เผยแผ่ธรรมๆ พยายามปลูกศรัทธา ศรัทธาไทยสำคัญ ศรัทธาของสัตว์โลกสำคัญ สำคัญเพราะไม่ศรัทธาก็ไม่มีความเชื่อ ไม่มีศรัทธาก็ไม่มีความมั่นคง ไม่มีศรัทธาก็ไม่มีการแสวงหา ไม่มีศรัทธาก็ไม่มีการศึกษา ถ้าไม่มีศรัทธานะ

 

แต่ศรัทธา เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ศรัทธาก็เป็นศรัทธาอันหนึ่ง แต่พอปฏิบัติแล้วมันต้องเป็นความจริงๆ ไง มันถึงเริ่มกาลามสูตรมาทีหลังไง เวลากาลามสูตรมันเป็นความจริงของตน ถ้าความจริงของตน ถ้ามันทำขึ้นมาได้จริง มันเป็นความจริง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง

 

เวลาโลกสมมุติๆ ว่าเป็นสมมุติ สมมุติคือว่าของชั่วคราว มันมีจริง จริงตามสมมุติ ไม่ใช่ว่าโลกสมมุติๆ แล้ว โลกสมมุติ สมมุติแล้วเอ็งอย่าทุกข์สิ เอ็งก็รู้ว่าสมมุติแล้ว แล้วเอ็งไปยึดมั่นถือมันทำไม ไอ้พวกขวางโลกว่า สมมุติก็ไม่เอา สมมุติก็ทิ้งขว้าง เอ็งทิ้งขว้างได้อย่างไร ในเมื่อเอ็งเกิดมาเอ็งเป็นสิ่งมีชีวิต เอ็งเกิดมาเอ็งเป็นสิ่งมีชีวิต เอ็งต้องรับผิดชอบ ที่เอ็งเกิดมา เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากเวรกรรมของเอ็งทั้งนั้น แล้วเอ็งอยู่ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่เอ็งกระทำอยู่นั่นคือกรรมปัจจุบันไง ที่มา มาจากกรรมอดีตมาปัจจุบัน แล้วมันจะมีกรรมอนาคตไป นี่ไง พวกขวางโลกก็ขวางโลกไป ไอ้พวกที่ว่ามันเป็นสมมุติ มันไม่จริงไม่จัง

 

ไม่จริงไม่จังเอ็งก็ต้องปล่อยวางสิ ไม่จริงไม่จังเอ็งก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันสิ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่มันมีของมันนะ เวลามีของมันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือลบล้างสมมุติบัญญัติในใจทั้งหมด แต่เวลาพระเจ้าสุโธทนะ สามเณรราหุล นางพิมพา พระพุทธเจ้าจำได้ไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว แล้วจำใครไม่ได้เลยหรือ

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ยังจำได้ เห็นไหม การจำคือสัญญา ความจำได้หมายรู้ยังมีของมันอยู่ใช่ไหม แต่ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของพระอรหันต์เป็น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระหน้าที่จะต้องดูแลกันไปจนถึงที่สุด เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะนิพพานนะ ลาวัฏฏะแล้วล่ะ ลาธาตุลาขันธ์ ลากันที พอกันที

 

แต่เวลาพวกเรานะ พวกปุถุชนคนหนา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ เป็นมาร เป็นมาร รูปก็ยึด เวทนาก็ของเรา ยิ่งสัญญาก็ยิ่งสังขารปรุงแต่ง ยิ่งวิญญาณนี่ร้อยแปด ขันธมาร ขันธ์นี้เป็นมาร เป็นมาร เป็นเวร เป็นภัยกับเรา มันเหยียบย่ำทำลายหัวใจของเรา ถ้าปุถุชนนะ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ขันธ์ ๕ เป็นขันธมาร เป็นมารไปหมด เพราะอะไร เพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง

 

ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เรากระทำๆ ก็เพื่อชำระล้างนี่ไง เพื่อชำระล้าง ที่มันสะอาดบริสุทธิ์ไปแล้ว ชำระล้าง สะอาดบริสุทธิ์ไปแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วนที่เหลืออยู่ สะคือชีวิตที่ยังมีอยู่ สิ่งที่ชีวิตตั้งแต่สิ้นกิเลสไปแล้ว สิ่งที่มีชีวิตที่เหลืออยู่นี้คือเศษทิ้งๆ แต่เศษทิ้งนี้มันเป็นประโยชน์กับโลกไง นี่ไง สิ่งที่ธรรมะพูดได้ๆ ความเป็นจริงในหัวใจนั้น แล้วสื่อสารได้ไง

 

แต่ของเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราก็ไปศึกษา เวลาศึกษาขึ้นมามีการสังคายนา มีการแก้ไขกันมาตลอด ก็ยัดเข้าไป ใครมีความรู้ความเห็นอย่างไรก็ยัดเข้าไป ลัทธิใดก็เชื่อตามกันไปทั้งนั้น

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ สิ่งนั้นเป็นแนวทาง เป็นแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาแล้ว ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เวลาปฏิเวธมันรู้แจ้งกลางหัวใจขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงๆ นี่เป็นธรรมทายาท เป็นธรรมมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นบริษัท ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ เราได้รับมรดกตกทอดกันมา แต่เราไม่สามารถเข้าไปหาสัจจะความจริงอันนั้นได้ไง

 

เรามีคุณค่ามากน้อยขนาดไหน ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนานะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ เราก็เป็นสัตว์โลก สัตตะผู้ข้อง ศึกษามาแล้วเราพยายามขวนขวายของเรา ถ้ามันมีศรัทธามีความเชื่อนะ มันจะฟื้นกลับมา ฟื้นกลับมาหาตัวตนของเรานะ

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยนี้ไว้ เราเกิดมาในวัฒนธรรมของชาวพุทธ เรามีความสุขความร่มเย็นจากพระพุทธศาสนานะ เรามีความสุขความร่มเย็นจากผู้ที่คุ้มครองดุแลนะ แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ศีล สมาธิ ปัญญามันจะเกิดเข้ามาในหัวใจของเรา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ธรรมะมันจะกังวานกลางหัวใจไง ธรรมมะมันจะอยู่ท่ามกลางหัวใจนี้ไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ตอนนี้มันขันธมาร มันควบคุมอยู่ เห็นไหม

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมากๆ หลวงตาท่านพูดประจำ เหมือนห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปแล้วได้มากได้น้อยแค่ไหน คนที่ไปตากแอร์ก็ได้แค่ความเย็นมา คนที่มีอำนาจวาสนาเขาขวนขวายของเขานะ เขาแลกเปลี่ยนเอาสิ่งใดมา แลกเปลี่ยนมาด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม ความถูกต้องดีงามจะเข้าไปทำลายมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ความคับแค้นใจ ความเครียดในหัวใจ มันจะทำลายหมด ถ้าถูกต้องดีงามแล้วมันจะปลอดโปร่งโล่งโถงในหัวใจของตน สว่างไสวท่ามกลางหัวใจนั้น หัวใจของเราแท้ๆ นะ ถ้าคนมันเห็นแล้วมันจะเห็นคุณค่าไง คุณค่าสิ่งใดมันจะเท่ากับการภาวนา การบำเพ็ญตบะธรรม

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ประจำ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัติมันยังมีโอกาสไง เราก็พยายามของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามทำของเรา ทำไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นคุณค่าของมัน เราจะเห็นคุณค่าสิ่งที่มันมาทำให้หัวใจเราไม่เครียด ทำให้หัวใจเราปลอดโปร่ง แล้วเห็นคุณค่ามาก เราจะขวนขวายมาก ขวนขวายมาก พอกิเลสมันอยากได้มากก็ทำไม่ได้อีก

 

เราขวนขวายมาก เราก็พยายามวางไว้ให้มันเป็นสัจธรรม ทำเป็นจริงของมัน แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของเรา เทียบถึงอำนาจวาสนาของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เราจะมีอำนาจวาสนาเห็นความจริงในหัวใจเราหรือไม่ เอวัง